มารยาทในการขับขี่บนท้องถนนเพื่อสังคมที่ดี

หลายคนใช้เวลาส่วนใหญ่ในรถของพวกเขา ในโลกปัจจุบันความหยาบคายทำให้เกิดความเสี่ยงในด้านความปลอดภัยในหลายทาง การพัฒนาความอดทนและฝึกขับรถอย่างมีมารยาท จะทำให้คุณเป็นผู้ขับที่มีวินัย ขับรถอย่างปลอดภัย มีสมาธิในการควบคุมรถเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ แล้วการขับรถแบบไหนทีเรียกว่าขับแบบ “มีมารยาท” เราจึงอยากจะพาทุกคนมารู้จักกับเรื่องที่ควรทำ และไม่ควรทำเมื่อขับรถอยู่บนถนน ลองมาดูกันว่ามันมีเรื่องอะไรกันบ้าง 1.เคารพเพื่อนร่วมทางบนท้องถนน มนุษย์ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะอยู่ในน้ำ บนบก หรือ อากาศ โดยเฉพาะบนท้องถนนด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เนื่องจากทุกคนสามารถที่จะขับรถได้เหมือนกันหมด ใช้ถนนเส้นทางเดียวกัน ต้องขับสวนกันไปมา มารยาทที่ดีไม่จำเป็นต้องมีกำหนดไว้ในระเบียบกฎหมายใดๆ เราสามารถแสดงความเคารพได้หลายวิธี เช่น การบีบแตรที่ไม่ลากยาว ใช้เพียงเพื่อเตือนคันข้างหน้าเท่านั้น หรือก็มีน้ำใจแบ่งปันช่องจราจรให้แก่ผู้อื่น เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ 2.ไม่เปิดไฟฉุกเฉิน หรือ ผ่าหมากในขณะข้ามสี่แยก ไฟฉุกเฉิน ทุกคนรู้ดีกว่าเจ้าปุ่มนี้มันเอาไว้ใช้เฉพาะในเวลาที่ “ฉุกเฉินเท่านั้น” หมายความว่าจะใช้ได้คือ ตอนรถเสีย รถจอดหยุดนิ่งอยู่บนไหล่ทาง คนไทยมักติดนิเสียแย่ๆ มาจากไหนกันไม่รู้ ชอบที่จะเปิดไฟฉุกเฉินในขณะที่กำลังข้าม 4 แยก ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างมาก เพราะว่ารถคันที่อยู่ทางซ้าย หรือ ทางขวา จะเห็นว่ารถคันนี้กำลังเลี้ยวนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงมักทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นอยู่บ่อยครั้ง 3.ขับให้ตรงช่องจราจรของตน การขับรถ “คล่อมเลน” เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากความเพลินจนลืมตัว โดยเฉพาะเวลาที่ขับรถเป็นระยะเวลานาน อีกอย่างหนึ่งคือการ …

มารยาทในการสนทนากับผู้ใหญ่ที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการพูดคุย หรือการสนทนาถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก เพราะมนุษย์จัดเป็นสัตว์สังคมที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน มีมนุษยสัมพันธ์ มีการพูดคุย ยิ่งเราต้องสนทนากับผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีอายุมากกว่าด้วยแล้ว การวางตัว คำพูดต่างๆ ยิ่งต้องระวังมากขึ้น ดังนั้น มารยาทในการสนทนากับผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีอายุมากกว่าจึงเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การสนทนาเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ดี มีความสบายใจเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย มารยาทในการสนทนากับผู้ใหญ่ ภาษา – ภาษาจัดเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญต่อการสื่อสาร เพราะหากเราใช้ภาษาที่สุภาพ มีหางเสียง ลงท้ายด้วยคำว่า ค่ะหรือครับ ก็จะน่าฟัง น่าสนทนามากขึ้น รวมถึงจังหวะ ความรวดเร็วก็ควรมีอย่างพอดี คือ ไม่เร็ว กระชั้นชิดจนเกินไป หรือการแบ่งวรรคตอนของคำไม่ถูกต้อง ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากพูดผิดพลาดไปความหมายก็ผิดตามไปด้วย และหากเราสามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้การสนทนากับผู้ใหญ่ก็จะเป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างแน่นอน บุคลิกภาพ – การสนทนากับผู้ใหญ่หากต้องยืนต่อหน้าซึ่งกันและกัน ควรยืนในท่าที่สบายๆ หลังเหยียดตรง แต่ลำตัวโค้งลงเล็กน้อยเพื่อ บ่งบอกว่าเราเป็นผู้น้อยถึงยืนคุยก็ไม่ค้ำศีรษะ รวมถึงการวางมือก็ควรวางทับการข้างใดข้างหนึ่ง โดยให้อยู่ในตำแหน่งหัวเข็มขัด (เอว) หรือต่ำกว่านั้น หากมีการใช้อวัจนภาษาในการสื่อสารเพื่อเพิ่มอรรถรสบ้างก็ควรใช้แล้วนำกลับมาประสานกันไว้ที่เดิม การวางขาก็ควรยืนตรงข้างหนึ่ง อีกข้างหย่อนหรือพักขาไปด้านหน้า หรือหากต้องนั่งสนทนากันโดยไม่มีโต๊ะคั่น ก็ควรนั่งในท่าที่สบาย หลังตรงไม่พิงพนัก มือประสานทับกันวางไว้ที่หน้าขา ในส่วนของขาควรวางแนบชิดกัน รวมถึงวางปลายเท้าให้เสมอกัน ไม่ควรนั่งไขว้ขาหรืออ้าขาจนเกินไป …

มารยาทในการเข้าสังคมที่ควรรู้

มนุษย์ถือเป็นสัตว์สังคมที่มีวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานจวบจนทุกวันนี้เราทุกคนเองก็ยังจำเป็นต้องมีสังคมเพื่อดำเนินชีวิตเช่นกัน การเรียนรู้มารยาทพื้นฐานต่างๆ ในการเข้าสังคมจึงเป็นเรื่องดีในการช่วยให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่าปราศจากปัญหา หรือไม่ได้รับการยอมรับจากบุคคลทั่วไป ซึ่งมารยาททางสังคมก็มีด้วยกันหลายประเด็นโดยจะขอยกประเด็นหลักสำคัญมาให้ได้รู้จักกันว่าการเข้าสังคมที่ดีควรมีมารยาทอย่างไรเพื่อคนอื่นจะได้ยอมรับเราได้ 7 มารยาทการเข้าสังคมควรรู้ การทานอาหารกับญาติผู้ใหญ่คนผู้ที่มีสถานะสูงกว่า เช่น เจ้านาย เจ้าภาพ จำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสหรือคนที่เป็นเจ้าของงานเชื้อเชิญให้สั่งอาหารเสียก่อนจึงจะทำการสั่งได้ แต่ก็ควรสั่งอาหารในราคาเหมาะสม ไม่สูงเกินไป และที่สำคัญอย่าสั่งอาหารเกินราคาที่เจ้าภาพสั่งเด็ดขาด การตักอาหารและมารยาทบนโต๊ะอาหาร ควรใช้ช้อนกลางสำหรับการตักอาหารทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทใดก็ตาม การตักอาหารควรตักแบบพอดีคำไม่ใหญ่จนเกินไป ใช้ผ้าเช็ดปากและมือทุกครั้งเมื่อทานเสร็จ รวบช้อนให้เหมาะสม เลือกใช้อุปกรณ์บนโต๊ะอาหารให้ถูกต้อง และอย่าพูดคุยหรือหัวเราะเสียงดังจนเศษอาหารหล่นจากปาก ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่หากมีคนหมู่มากทำในแบบเดียวกันก็ควรต้องต่อแถวเรียงตามลำดับไม่ใช่อยากแทรกตอนไหนก็เข้าแทรกได้เลย แบบนี้ถือเป็นการเสียมารยาทอย่างรุนแรง เช่น การซื้อบัตรต่างๆ การซื้ออาหาร การขึ้นรถโดยสาร เป็นต้น ระวังเรื่องการแต่งกายควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสถานที่หรือพิธีการต่างๆ ที่ต้องไปร่วมงานด้วย เช่น งานศพก็ควรใส่ชุดสีดำหรือชุดสีขาว งานแต่งงาน งานปาร์ตี้ต่างๆ ก็ควรเลือกใส่ให้ถูกต้องกับธีมงานที่มีการกำหนดเอาไว้ เป็นต้น มีการกล่าววาจาด้วยความสุภาพกับคนที่ไม่รู้จักพร้อมกันนี้ยังควรมีสัมมาคารวะที่ดีต่อผู้ใหญ่ มีความโอบอ้อมอารีกับบุคคลที่เด็กกว่า คำพูดอย่าง สวัสดี ขอโทษ ขอบคุณ ไม่เป็นไร ควรเป็นคำพูดติดตัวซึ่งต้องมีเอาไว้อยู่ตลอด รู้จักมารยาทในการใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกับผู้อื่น เช่น การใช้โรงภาพยนตร์, การใช้ห้องสมุด, ห้องน้ำสาธารณะ, รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราสามารถอยู่ในสังคมทุกพื้นที่ได้อย่างปกติ มีความโอบอ้อมอารี มีน้ำใจช่วยเหลือกับคนอื่นอยู่เสมอไม่ว่าในสถานการณ์ใดหากพอช่วยเหลือได้ก็ไม่ควรรีรอในการเข้าไปช่วยเหลือ …

มารยาทสำคัญในการสนทนากับพระสงฆ์

คนไทยกับพระสงฆ์ จะว่าอยู่ห่างกันก็ใช่ แต่จะบอกว่าอยู่ใกล้ชิดกันก็ใช่อีก เนื่องจากว่าสังคมไทยเราตั้งแต่เกิดจนตายก็มีความเกี่ยวข้องพระสงฆ์ทั้งนั้น (ยกเว้นนับถือศาสนาอื่น) นั่นทำให้เราต้องมีโอกาสในการสนทนากับพระสงฆ์อยู่เสมอ การจะไปสนทนากับพระสงฆ์เราเองก็ต้องรู้จักมารยาทอีกด้วย มีเรื่องอะไรบ้างไปดูกัน จำนวนคนที่จะสนทนากับพระสงฆ์ อย่างแรกเลยแม้จะไม่เกี่ยวกับมารยาทโดยตรง แต่ก็ควรทำเพื่อความบริสุทธิ์ใจทั้งสองฝ่ายนั่นคือ จำนวนคนที่จะเข้าไปคุยกับพระสงฆ์ ควรมีคนเข้าไปคุยด้วยอย่างน้อย 3 คน ไม่ควรน้อยกว่านั้น หากคนที่ต้องการจะสนทนาเป็นหญิงก็ควรมีชายเข้าไปด้วย หากมากกว่านั้นการเข้าไปคุยกับพระสงฆ์อาจจะเป็นเหมือนการรบกวนพระท่านมากเกินไป หากน้อยกว่านั้นเกิดคนอื่นเห็นเข้าจะไม่งาม ยิ่งเดี๋ยวนี้ภาพแอบถ่ายตัดต่อมันเยอะ ยิ่งต้องระวังตัว ช่วงเวลาในการสนทนา พระสงฆ์เองแม้จะเป็นนักบวชที่คอยดูแลช่วยเหลือพุทธศาสนาอยู่แล้ว แต่ท่านเองก็มีกิจนิมนต์ มีภารกิจของสงฆ์ต้องทำเช่นกัน เราควรจะรู้มารยาทในการนัดหมายพระสงฆ์เพื่อสนทนา ช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมก็อย่างเช่น เวลา 11.00 น.(ช่วงก่อนเพล) หรือ หลังเวลา 18.00 น. (เนื่องจากเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่หากเป็นการสนทนาหลังจากท่านปฏิบัติกิจของสงฆ์ก็ได้) หรือ ช่วงเวลาก่อนบิณฑบาต ไม่ควรอย่างยิ่ง อีกทั้งเวลาในการสนทนาก็ไม่ควรยาวนาน เยิ่นเย้อ เกินไป เพื่อให้ท่านได้จำวัด หรือ ทำกิจของสงฆ์อื่น การแต่งกาย หลายคนเวลาไปวัดบอกเลยว่าไม่ค่อยสำรวมสักเท่าไร โดยเฉพาะการแต่งกายผู้หญิงบางคนแต่งตัวอันตรายมาก กล่าวคือ กางเกงขาสั้น หรือ รัดรูป เสื้อผ้าตัวเล็ก สีขาวบางเกินไป เสื้อผ้าโชว์เนื้อหนังมากเกินไป …

emailpicturenew

มารยาทในการสนทนา มีความสําคัญอย่างไร ต่อการในชีวิตประจำวัน

“มารยาท” คำๆนี้เป็นคำที่ทุกคนคงจะคุ้นชิน ถูกปลูกฝังได้ยินกันมาตั้งแต่เรายังเป็นเด็กๆ ที่เริ่มจำความได้ มารยาทกับสังคม วัฒนธรรมค่านิยมนี้เป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาอย่างยาวนานเป็นที่สิ่งไม่ว่าจะเป็นสังคมไหนพบเจอผู้คนแบบไหนก็ควรจะต้องระลึกถึงสิ่งนี้ไว้ตลอดเวลา อย่างที่ทราบกันว่ามารยาทเป็นสิ่งที่ดีงามที่ทุกคนควรจะมีแต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังละเลยหรือไม่สนใจเกี่ยวกับมารยาทที่ควรมีต่อสังคม หรืออาจจะกระทำไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้ที่ได้ฟัง หรือผู้ที่พบเห็น ซึ่งในบทความนี้เราจะมีเรียนรู้ถึงความสำคัญเรื่องมารยาทในการสนทนาว่ามีความสำคัญอย่างไร จะส่งผลต่อชีวิตประจำวันเราอย่างไร มารยาทมีหลายรูปแบบแต่การดำรงชีวิต อย่างที่เราทราบกันอยู่แล้วว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ดังนั้นจึงทำให้มนุษย์อย่างเราจำเป็นที่จะต้องมีการสื่อสารหรือสนทนา  ซึ่งหลายคนอาจมองข้ามความสำคัญในการสนทนา หลายคนต้องการเพียงแค่ว่าต้องการพูดสื่อสารเนื้อความนี้ออกไปโดยไม่สนใจว่าคนฟังจะตีความไปในทางไหน และจะทำร้ายจิตใจผู้ฟังหรือไม่ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้มารยาทในการสนทนาเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อไม่ให้คำพูดของเราไปทำร้ายจิตใจผู้ฟังด้วยเหตุผลหลายๆประการจึงต้องมีการกำหนดมาตรฐานสากลในการใช้คำพูดหรือที่เราเรียกกันว่ามารยาทนั่นเอง เพราะคำพูดบางคำที่เราพูดออกไปโดยไม่ทันได้คิด คนฟังที่ได้ฟังไปแล้วเราก็ไม่สามารถจะแก้ไขเนื้อหาที่เราสื่อสารออกไปได้เลย ซึ่งมารยาทในการสนทนาก็แบ่งออกได้เป็นหลายแบบเช่นกัน ได้แก่ การสนทนาตามวัย ในสังคมเราก็มักจะพบปะผู้คนมากมายหลากหลายวัย ซึ่งในการสนทนาหากเราสนทนากับผู้ที่มีระดับอายุที่น้อยกว่า มากกว่า หรือเท่ากันก็ควรจะเลือกใช้ระดับภาษาและการสนทนาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ที่ได้ฟังไม่เกิดความขุ่นข้องในจิตใจ การสนทนาตามสถานการณ์ การสนทนาตามสถานการณ์ก็คือการที่เราไปอยู่ในงาน หรือโอกาสพิเศษไหนๆที่เกิดขึ้นก็ควรใช้ภาษาให้เหมาะสม เช่น งานศพ ก็ควรสนทนาให้สุภาพให้เกียรติญาติและผู้เสียชีวิตและไม่ใช้คำหยาบคายพูดจาให้ร้ายบุคคลอื่น เป็นต้น มารยาททั่วไปในการใช้คำพูด เช่น การพูดจาสุภาพ ไม่พูดคำหยาบ , ให้เกียรติผู้พูดโดยการเป็นผู้ฟังที่ดี ,ไม่ขัดจังหวะเวลาคนอื่นพูด ,ไม่โต้เถียง , ไม่โอ้อวด เป็นต้น หากทุกท่านทำได้ตามที่กล่าวมา ก็จะสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขทั้งผู้พูดและผู้ฟังก็จะทำให้เกิดสัมพันธ์อันดีต่อกันจะช่วยลดโอกาสที่จะเข้าใจผิดในการสนทนาได้อีกด้วยเช่นกันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านมากขอบคุณครับ

ความแตกต่างการแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ และเหมาะกับบุคลิกภาพ

เรามักจะได้ยินกันมาบ่อยมากกับคำพูดที่ว่าแต่งกายให้ถูกกาลเทศกับแต่งกายให้เหมาะสมกับบุคลิกภาพของตัวเองหน่อย ซึ่งมันก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าคำสองคำนี้แท้จริงแล้วมันมีความหมายไปในทิศทางเดียวกันจริง หรือ ไม่ การแต่งกายให้ถูกกาลเทศะอาจไม่ได้หมายความว่าต้องเหมาะกับบุคลิกภาพของเราก็ได้เหมือนกัน ดังนั้นคำสองคำนี้มันจึงมีความแตกต่างในตัวเองซ่อนอยู่แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งหมดหากเราสามารถทำมันได้ ความแตกต่างระหว่างการแต่งกายให้ถูกกาลเทศะกับการแต่งกายให้เหมาะกับบุคลิกภาพ การแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ เป็นการแต่งกายให้เหมาะสมกับงาน สถานที่ และโอกาสต่างๆ ที่ต้องเดินทางไปอาจแต่งตัวให้ดูเหมาะสมกับความนิยมกับผู้อื่น อาทิ สถานที่ราชการก็ควรเลือกใส่เสื้อผ้าสีสุภาพ การเข้ารูปแบบสุภาพ รองเท้าแบบหุ้มส้น กระเป๋าสีเรียบเข้ากับเสื้อผ้า ไม่ควรสวมเสื้อปล่อยชายออกมานอกกระโปรง หรือ กางเกง ติดกระดุมให้ครบทุกเม็ด เป็นต้น งานแต่งงาน งานเลี้ยงต้อนรับ งานรื่นเริงต่างๆ ก็ต้องใส่ให้เหมาะสมกับธีมงานนั้นๆ คือถ้าหากงานดังกล่าวมีธีมอยู่แล้วการเลือกใส่ไม่ตรงกับธีมถือเป็นการผิดกาลเทศะอย่างมาก เช่น งานแต่งงานริมทะเลให้มีการใส่เสื้อผ้าแบบสบายๆ ริมทะเลแต่ดันไปใส่สูทผูกเนกไทแม้จะเป็นทางการแต่เมื่อมันไม่เข้ากับธีมงานก็เลยกลายเป็นไม่ถูกกาลเทศะไป เป็นต้น แต่ถ้าหากทางเจ้าภาพไม่ได้มีธีมงานอะไรแต่จากสถานที่จัดงานเป็นโรงแรมก็ควรเลือกใส่แบบสุภาพจำพวกสูท กางเกงขายาว เสื้อเชิ้ต ก็จะถูกกาลเทศะ อย่างจำพวกงานบุญงานบวชทั้งหลายหญิงสาวก็ไม่ควรสวมกระโปรง หรือ กางเกงสั้นจนเกินงาม เสื้อโชว์เนื้อหนัง หรือ อย่างงานศพก็ควรเลือกใส่สีดำกับสีขาวให้เหมาะสมพร้อมเป็นการไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตด้วย สิ่งสำคัญในการแต่งกายให้เหมาะกับบุคลิกภาพ การแต่งกายให้เหมาะกับบุคลิกภาพก็มีส่วนในความสอดคล้องกับการแต่งกายให้ถูกกาลเทศะเช่นกันเพียงแต่ว่าการเลือกเสื้อผ้ามาใส่นั้นดูแล้วต้องเหมาะกับตัวผู้ใส่เองมากกว่า อย่างเป็นคนรูปร่างใหญ่ มีหน้าท้อง การใส่เสื้อผ้ารัดรูปมันก็ดูไม่เหมาะกับบุคลิกภาพ ผู้หญิงต้นขาใหญ่แต่ใส่กระโปรง กางเกงสั้นๆ ยังไงก็ไม่เหมาะ พื้นฐานของการแต่งกายให้เหมาะกับบุคลิกภาพจริงๆ ควรเลือกใส่เสื้อผ้าขนาดกำลังพอดีไม่คับ หรือ หลวมเกินไป สีสันไม่ฉูดฉาด เหมาะกับผิวของผู้ใส่ …

ส่องชีวิตสุดหรูของดาราเมืองไทย

ขึ้นชื่อว่าเป็นดาราโดยเฉพาะดาราดังที่มีชื่อเสียงคงไม่ต้องพูดถึงว่าการใช้ชีวิตของพวกเขาแต่ละคนจะหรูหราขนาดไหน ยิ่งหากดาราคนไหนมีแฟนหรือสามีภรรยาเป็นนักธุรกิจด้วยแล้วยิ่งทำให้ชีวิตของพวกเขากลายเป็นคนที่หรูหรามากขึ้นไปอีก ยิ่งสมัยนี้ช่องทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กเป็นสิ่งที่ให้เราสามารถเข้าถึงดาราเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น ยิ่งทำให้เราได้เห็นชีวิตที่หรูหราของพวกเขามากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน บางคนยิ่งเห็นก็คงยิ่งแอบอิจฉาอยู่ในใจไม่น้อยกันเลยทีเดียว มาส่องชีวิตหรูหราของดาราเมืองไทย นุ่น วรนุช – คงไม่แปลกที่หลังจากแต่งงานไปจะมีแต่คนเรียกดาราสาวสวยคนนี้ว่า คุณนายนุ่น เพราะเธอได้แต่งกับทายาทสิงห์อย่าง ต๊อด ปิติ ภิรมย์ภักดี ยิ่งทำให้การใช้ชีวิตของเธอหรูหรามากขึ้นไปยิ่งกว่าเดิม ไม่ต้องอะไรมากแค่ทรัพย์สินที่เห็นๆ กันก็อย่างคฤหาสน์คอนโดสุดหรูจำนวน 6 ชั้น บริเวณใจกลางเมืองย่านสุขุมวิทที่มีมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท แค่นี้คงพอจะบอกได้แล้วนะว่าสุดหรูขนาดไหน บุ๋ม ปนัดดา – อดีตนางสาวไทยที่นอกจากจะมีงานในวงการบันเทิงแล้วยังมีธุรกิจส่วนตัวเป็นของตนเองอีกจึงไม่แปลกใจว่าชีวิตของเธอจะหรูหรามากขนาดนี้ โดยบ้านหลังที่เธออยู่เป็นคฤหาสน์พื้นที่กว่า 200 ตารางวา มีห้องนอนทั้งหมด 12 ห้องนอน สนนราคาก็ราวๆ 100 ล้านบาท ถ้าแบบนี้ไม่เรียกว่าสุดหรูก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้วเหมือนกัน หนิง ปณิตา – นางร้ายหน้าหมวย สวยมีเสน่ห์อย่างสาวหนิง ปณิตา ก็เป็นดาราอีกคนหนึ่งที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ยิ่งได้แต่งงานกับทายาทเจ้าของธุรกิจหมื่นล้านอย่าง จิน ธรรมวัฒนะ คงไม่ต้องบอกว่าชีวิตของเธอจะอยู่บนคำว่าหรูหรามากขนาดไหน เอาเป็นว่าคฤหาสน์ที่เธออยู่กับสามีและลูกสาวในเวลานี้มีมูลค่าไม่ตำกว่า 100 ล้านบาทก็แล้วกัน อั้ม พัชราภา – …

มาดูดาราที่ทำชีวิตตัวเองพังเพราะยา

ขึ้นชื่อว่าโต๊ะบอลออนไลน์และยาเสพติดไม่ว่าใครเข้าไปมีส่วนยุ่งเกี่ยวกับมันก็ล้วนแล้วแต่จะมีชีวิตที่พังพินาศไปตามๆ กันที่สำคัญไม่ใช่แค่ตัวเองอย่างเดียว แต่คนรอบข้างทั้งเพื่อนฝูง พ่อแม่ญาติพี่น้อง ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยกันทั้งสิ้น ยิ่งเป็นอาชีพดารานักแสดงเองที่ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะหากเข้าไปยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้ชีวิตของพวกเขาพังลงอย่างง่ายๆ แม้บางคนจะโชคดีกลับมามีที่ยืนบ้างแต่มันก็ทำให้ความรู้สึกดีๆ ของคนที่ติดตามหลายคนหายไปเหมือนกัน

จัดอันดับดาราเมืองไทยมีค่าตัวสูงที่สุด

อาชีพดารานักแสดงถือว่าเป็นอาชีพที่สามารถโกยเงินเข้ากระเป๋าได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าหากมีหน้าตาดี บุคลิกภาพดี มีความสามารถในการทำงาน กิริยามารยาทเป็นที่ถูกตาโดนใจของเหล่าผู้ใหญ่หรือบรรดาสปอนเซอร์ในวงการด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ดาราคนนั้นมีโอกาสที่จะเพิ่มค่าตัวของตนเองได้แบบสบายๆ ซึ่งว่ากันว่าดาราตัวท็อปๆ ของวงการบ้านเราหลายคนค่าตัวแต่ละงานไม่ธรรมดากันเลยทีเดียว ลองมาไล่เรียงกันดูว่าจากการจัดอันดับดาราเมืองไทยไล่ลำดับแล้วแค่ตัวสูงสุดเป็นอย่างไรกันบ้าง จัดอันดับดาราเมืองไทยค่าตัวสูงสุด อั้ม พัขราภา – ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือดาราที่คนไทยทุกคนต้องรู้จัก แน่นอนด้วยความสวยบวกกับฝีมือทางการแสดงที่ไม่เป็นสองรองใครในประเทศไทย ทำให้ค่าตัวของเธอกลายเป็นดาราที่มีค่าตัวสูงที่สุดในเมืองไทย ว่ากันว่าขั้นต่ำที่จะสามารถจ้างดาราสาวสวยคนนี้ให้ไปออกงานหรือรับงานต่างๆ ได้ต้องไม่ต่ำกว่า 300,000 – 400,000 บาท ณเดช คูกิมิยะ – ดาราชายไทยที่มีค่าตัวสูงที่สุดในเวลานี้คงหนีใครไปไม่ได้นอกจากหนุ่มณเดช ที่เราจะเห็นหน้าตาเขาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานละคร หรือ พรีเซ็นเตอร์โฆษณา โดยขั้นต่ำในการจ้างงานดาราสุดฮ็อตคนนี้อยู่ที่ 300,000 – 350,000 บาท ญาญ่า อุรัสยา – นางเอกคู่จิ้นของพระเอกหนุ่มณเดชก็เป็นดาราอีกคนที่ถูกยอมรับว่ามีฝีมือทางการแสดงเป็นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย และด้วยความที่เธอเป็นทั้งคนสวย กิริยามารยาทน่ารักทำให้คนในวงการมากมายต่างก็ชื่นชอบและยินดีที่จะจ้างงาน โดยค่าตัวขั้นต่ำอยู่ที่ประมาณ 300,000 – 350,000 บาท ชมพู่ อารยา – ดาราสาวสวยที่แม้ตอนนี้กำลังจะเป็นคุณแม่แต่ความสามารถทางการแสดง พิธีกร ยังคงฉายให้เห็นกันอยู่ตลอด ถือว่าเป็นดาราแม่เหล็กเบอร์ต้นๆ ของวงการบันเทิงเมืองไทยมายาวนาน …

ข่าวฉาวในวงการบันเทิง ร้อนละอุ

ข่าวในวงการบันเทิงโดยเฉพาะข่าวฉาวๆ ต่างก็เป็นที่สนอกสนใจและเป็นที่อยากรู้ของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก ด้วยความที่คนในวงการบันเทิงถูกเรียกว่าเป็นคนสาธารณะ มีผู้คนรู้จักเป็นจำนวนมากนั่นทำให้เรื่องราวบางอย่างของพวกเขาจึงตกเป็นประเด็นทางสังคมมากมาย ยิ่งข่าวไหนเป็นข่าวฉาวหรือข่าวที่แรงๆ หน่อยยิ่งได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษและตลอดปี 2559 ที่ผ่านมาก็มีข่าวฉาวของคนในวงการบันเทิงเกิดขึ้นมากมาย โดยข่าวฉาวๆ เด่นที่คัดเลือกมาก็มีดังนี้ ข่าวฉาววงการบันเทิงสุดร้อนระอุ สรยุทธ โดนฟ้อง จำเป็นต้องยุติบทบาทชั่วคราว – แม้อาจไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการบันเทิงเต็มตัวแต่หากบอกว่าคนไทยคนไหนไม่รู้จักชายที่ชื่อ สรยุทธ สุทัศนะจินดา สุดยอดนักอ่านข่าวเบอร์ 1 ของเมืองไทยคงเป็นเรื่องที่น่าแปลกไม่น้อย แม้เขาจะเป็นแม่เหล็กของช่อง 3 ในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา แต่ข่าวฉาวที่ทำให้เขาต้องยุติบทบาทหน้าจอทีวีในเวลานี้เกิดจากสมัยอ่านข่าวอยู่ที่ช่อง 9 แล้วบริษัท ไร่ส้ม ของเจ้าตัวโดนกล่าวหาว่าทุจริตโกงเวลาโฆษณา จนล่าสุดก็ยังคงต่อสู้กันในชั้นศาลแม้เบื้องต้นจะถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 13 ปี 4 เดือน ก็ตาม น็อต กราบรถกู วลีเด็ดแห่งปี – แม้อาจไม่ใช่ดาราหรือพิธีกรที่โด่งดังอะไรมาก แต่กับการที่ น็อต อัครณัฐ พิธีกรและนักแสดงวัยหนุ่มได้แสดงอาการเกรี้ยวกราดหลังเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนด้วยการลากคู่กรณีมาทุบต่อยพร้อมกับสั่งให้กราบรถของเจ้าตัวจนทำให้เกิดเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมวงกว้าง ถึงขนาดเจ้าตัวออกมาขอโทษและต้องหนีไปบวชเพื่อทำให้จิตใจบริสุทธิ์และเย็นลงกว่าเก่า ปันปัน เสียงสูงงงง – อีก 1 ดาราสาววัยรุ่นที่มีผลงานออกมาให้ได้ชมกันอยู่เสมอ และเธอคือ 1 …